พิจารณาจนมีความเห็น

ตั้งแต่ผมฟันธงไปแล้วว่า ไอ้ควาย cantona_z จะต้องตายแบบซากศพดูไม่จืด ผมก็ไม่คิดว่า จะต้องไปวิพากษ์วิจารณ์ความโง่ของควาย cantona_z อีกแล้ว

แต่ในช่วงที่ผมค้นข้อมูลเพื่อจะเอามาเขียนบล็อก “หลักฐานวิชาธรรมกาย” กับ “ถามตอบวิชาธรรมกาย”  ผมไม่พบความโง่แบบบรรลัยจักรของควาย cantona_z เข้าอีก จึงนำมาเผยแพร่

กล่าวคือ ควาย cantona_z  มันเห็นว่า “พิจารณาเห็น= พิจารณาจนมีความเห็น ไม่ใช่มองเห็นด้วยตา หรือมีรูปเกิดขึ้นทางใจ”

ควาย cantona_z  แสดงภูมิความรู้โดยการยกพระไตรปิฎกเสียด้วย  เพื่อให้ดูว่า ภาพลักษณ์ของควาย cantona_z ดูอลังการ น่าเลื่อมใส

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๗  พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗ จุลวรรค ภาค ๒

พ. ดูกรภัททิยะ ก็เธอ พิจารณาเห็น อำนาจประโยชน์อะไร ไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนไม้ก็ดี ไปสู่เรือนว่างก็ดี จึงได้เปล่งอุทานเนืองๆ ว่า สุขหนอสุขหนอ ดังนี้..

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์๑๐. จูฬอัสสปุรสูตรว่าด้วยข้อปฏิบัติอันดียิ่งของสมณะ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะละเสียได้ซึ่งกิเลสอันเป็นมลทิน เป็นโทษ เป็นดังว่าน้ำฝาดของสมณะอันเป็นเหตุให้เกิดในอบาย มีวิบากอันตนพึงเสวยในทุคติเหล่านี้แล

เราจึงกล่าวว่า ภิกษุนั้นเป็นผู้ปฏิบัติข้อปฏิบัติอันดียิ่งของสมณะ

ภิกษุนั้นย่อม พิจารณาเห็น ตนบริสุทธิ์ พ้นแล้วจากอกุศลธรรมอันลามกทั้งปวงนี้ เมื่อเธอพิจารณาเห็นตนบริสุทธิ์ พ้นแล้วจากอกุศลธรรมอันลามกทั้งปวงนี้

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์

[๕๔๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า เราประกอบด้วยทิฏฐิเช่นใด สมณะหรือพราหมณ์อื่นนอกธรรมวินัยนี้ ประกอบด้วยทิฏฐิเช่นนั้น มีอยู่หรือ

หนอ?

อริยสาวกนั้นย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า เราประกอบด้วยทิฏฐิเช่นใด สมณะหรือพราหมณ์อื่นนอกธรรมวินัยนี้ ประกอบด้วยทิฏฐิเช่นนั้น มิได้มี. นี้ญาณที่ ๓ เป็นอริยะ เป็นโลกุตระ ไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชน อันอริยสาวกนั้นบรรลุแล้ว............

[๕๔๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็น ดังนี้ว่า บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ประกอบด้วยธรรมดาเช่นใด ถึงเราก็ประกอบด้วยธรรมดาเช่นนั้น........

ความเห็นความเชื่อของ ควาย cantona_z นั้น  มีผู้สนับสนุนซึ่งเป็นควายด้วยกันด้วยคือ ควาย swinger ซึ่งได้มาให้ความเห็นสนับสนุน ควาย cantona_z  ไว้ว่า

อย่างที่ท่าน cantona_z กล่าวไว้ครับ

เข้าใจมั้ยครับว่า  คําว่าเห็นในที่นี้ไม่ได้เห็นด้วยตาที่มองเห็นแสงสว่างหรือรูปอะไร

เห็นในที่นี้หมายถึง  ความเข้าใจด้วยปัญญาอย่างเดียวครับ

ผมรู้สึกอเนจอนาถใจในความโง่ของได้ควาย 2 ตัวนี้เหลือเกิน คือ มันไม่ได้มีความรู้ “ห่า” อะไรเลย แต่อยากลงนรก 

เรื่องนี้ต้องไปศึกษาที่คำศัพท์ภาษาบาลี คำว่า “พิจารณาเห็น” นั้น มาจากคำภาษาบาลีคือ “อนุปัสนา” [อนุ + ปสฺสนา]

ปัสสนานั้น แปลว่า เห็น  วิปัสสนาก็แปลว่า เห็นแจ้ง

คำว่า “อนุ” นั้น  พจนานุกรมให้ความหมายไว้ ดังนี้

อนุ คําประกอบหน้าศัพท์บาลีหรือสันสกฤตมีความหมายว่า น้อย เช่น อนุทิศ = ทิศน้อย, ภายหลัง, รุ่นหลัง, เช่น อนุชน = ชนรุ่นหลัง, ตาม เช่น อนุวัต = เป็นไปตาม, เนืองๆ เช่น อนุศาสน์ สอนเนืองๆ คือ พรํ่าสอน. (ป., ส.).

ดังนั้น คำว่า “อนุปัสสนา” นั้น คนแปลบางทีก็แปลว่า “ตามเห็น” บางทีก็แปลว่า “พิจารณาเห็น” อย่างที่ไอ้ควาย cantona_z  ไปค้นมาให้ดู

ดังนั้น ถ้ายึดจากภาษาบาลี คำว่า “พิจารณาเห็น” มันต้อง “เห็น” จริงๆ เห็นตามไป ไม่ใช่ “พิจารณาจนมีความเห็น ไม่ใช่มองเห็นด้วยตา หรือมีรูปเกิดขึ้นทางใจ” อย่างที่ไอ้ควาย cantona_z  มันเข้าใจผิดไป

ไอ้ควาย cantona_z  มันโง่ตีความคำแปลภาษาไทย “มั่ว” ไปตามความโง่ของมัน โดยไม่กลับไปดูภาษาต้นฉบับคือ ภาษาบาลีว่า คำนั้นมาจากไหน

มันก็แสดงให้เห็นถึงความโง่อย่างสุดๆ ของมัน

ขอแถมด้วยว่า “อนุปัสสนา” นั้น มี 7 อย่าง คือ

1) อนิจจานุปัสสนา คือ การพิจารณาเห็นเป็นของไม่เที่ยง,

2) ทุกขานุปัสสนา คือ การพิจารณาเห็นเป็นทุกข์,

3) อนัตตานุปัสสนา คือ การพิจารณาเห็นว่าเป็นอนัตตา,

4) นิพพิทานุปัสสนา คือ การพิจารณาเห็นความเบื่อหน่าย,

5) วิราคานุปัสสนา คือ การพิจารณาเห็นความคลายกำหนัด,

6) นิโรธานุปัสสนา คือ การพิจารณาเห็นความดับ,

7) ปฏินิสสัคคานุปัสสนา คือ การพิจารณาเห็นการสละคืน

ทั้ง 7 อย่างนั้น ต้องเห็นด้วย “ตา” จริงๆ แต่จะเป็นตาประเภทไหนก็เลือกเอา เพราะ ตา หรือ จักษุ ในคำสอนของพระพุทธเจ้า มี 5 ประเภทคือ

1) มังสจักษุ

2) ทิพยจักษุ

3) ปัญญาจักษุ

4) พุทธจักษุ และ

5) สมันตจักษุ

โดยสรุป ไอ้ควาย cantona_z มันโง่ของมันอย่างไร มันก็โง่ของมันอย่างนั้น ไม่เคยเปลี่ยนแปลง แต่มันประเภทโง่แล้วชอบโชว์ 

ถ้ามันไปโชว์โง่ในเรื่องอื่นๆ โทษก็คงไม่หนักหนาสาหัสนัก  แต่มันเสือกมาโง่ในเรื่องศาสนา มันถึงต้องตายแบบร่างการแหลกเหลว จนหาชิ้นดีไม่ได้