มาวิพากษ์วิจารณ์ข้อที่
2 ที่ควายนรกภูมิธรรม มันวิพากษ์วิจารณ์หลวงพ่อวัดปากน้ำ
2. พระไตรปิฏก คำว่า "รู้"
เต็มไปหมด หลวงพ่อสด ต้องกล่าว “เห็น”นะ ไม่ใช่กล่าว “รู้” พอเข้าใจข้อ 1 ผิด ข้อ 2 เลยเข้าใจผิดด้วย นึกว่าเห็นได้
|
เพื่อประกอบคำอธิบาย
ขอยกคำเทศน์ของหลวงพ่อวัดปากน้ำ กับ เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานอีกครั้งหนึ่ง
ขอยกเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน
ก่อนดังนี้
ขอให้ท่านผู้อ่านดูที่ผมเห็นสีเหลืองไว้ก่อนคือ
คำว่า “พิจารณาเห็น”
ควายนรกภูมิธรรมมันตาบอดกับคำว่า
“พิจารณาเห็น” หรือไงก็ไม่ทราบ ถึงไม่รู้ว่ามีคำนี้อยู่ ไอ้สัตว์ตัวนี้ นี่มันเลวระยำจริงๆ
เพียงเพื่อต้องการโจมตีหลวงพ่อวัดปากน้ำ
มันยินดีที่จะโกหกทุกอย่าง
คำว่า
“พิจารณาเห็น” นั้น ผมย้ำมาหลายครั้งแล้วว่า
ควรแปลว่า “ตามเห็น/เห็นเนืองๆ” เพราะ
มาจากภาษาบาลีที่ว่า “อนุปัสนา”
“ปัสนา” แปลว่า เห็น ส่วน “อนุ”
พจนานุกรมให้ความหมายไว้ดังนี้
อนุ
คําประกอบหน้าศัพท์บาลีหรือสันสกฤตมีความหมายว่า
น้อยเช่น อนุทิศ = ทิศน้อย,
ภายหลัง, รุ่นหลัง,
เช่น อนุชน = ชนรุ่นหลัง,
ตาม เช่น อนุวัต = เป็นไปตาม,
เนือง
ๆ เช่น อนุศาสน์ สอนเนือง ๆ คือ พรํ่าสอน. (ป., ส.).
|
โดยสรุป
“อนุปัสนา”
ที่พระไตรปิฎกเฉพาะภาษาไทยแปลว่า “พิจารณาเห็น”
ทั้งๆ ที่ในแง่ของภาษาศาสตร์แล้ว ต้องแปลว่า “ตามเห็น/เห็นเนืองๆ” ผู้ปฏิบัติจะต้อง “เห็น”
ก่อน
ถ้าถามว่า
“จะต้องเห็นอะไรบ้าง”
คำตอบก็อยู่ในพระสูตรดังกล่าว ข้อให้พิจารณาในส่วนที่ผมทำกรอบสีแดงไว้
ในการปฏิบัตินั้น
ต้อง ““ตามเห็น/เห็นเนืองๆ” าจิตเป็นอย่างไรใน 9
ประการนี้
-
จิตมีหรือไม่มี “ราคะ”,
“โทสะ”, “โมหะ”
-
จิต “หดหู่”,
“ฟุ้งซ่าน” หรือไม่
-
จิตเป็นหรือไม่เป็น “มหรคต”, “สมาธิ”
-
จิต “มีจิตอื่นยิ่งกว่า” หรือไม่
- จิต “หลุดพ้น” หรือไม่
เมื่อเห็นแล้ว
ก็ “รู้” ไปด้วย โดยสรุป
เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานนี้
ผู้ปฏิบัติจะต้องเห็นก่อน เพราะ เนื้อหาพระสูตรเน้นไปอย่างนั้น เมื่อเห็นแล้วก็ “รู้”
ระหว่างคำว่า
“พิจารณาเห็น/ตามเห็น/อนุปัสสนา” กับ “ก็รู้ชัดว่า”
ในเนื้อหาของเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานนั้น ความหมายของความว่า “พิจารณาเห็น/ตามเห็น/อนุปัสสนา” มีความสำคัญกว่า
“ก็รู้ชัดว่า”
กล่าวคือ
ต้องเห็นด้วย และรู้ชัดไปด้วย
แต่การเห็นสำคัญกว่า
ที่นี้มาดูคำเทศน์ของหลวงพ่อกัน
ผมขอให้พิจารณาไปที่
2 ประโยคที่อยู่แรกสุดกับท้ายสุดเลย
1) จิตล่ะ เห็นจิตในจิต ก็แบบเดียวกันกับเวทนาในเวทนา เห็นจิตในจิตนี่ ต้องกล่าว “เห็น”นะ
ไม่ใช่กล่าว “รู้” นะ เห็นจิตในจิต
2) รู้กับเห็นมันต่างกันนะ เห็นอย่างหนึ่ง รู้อย่างหนึ่งนะ
ไม่ใช่เอารู้กับเห็นมาปนกัน ไม่ได้
มาพิจารณากันก่อนว่า
ข้อความของหลวงพ่อวัดปากน้ำนั้น ถูกต้องสอดคล้องกับพระไตรปิฎกตามหลักมหาปเทส 4
หรือไม่
จากที่อธิบายไปด้านบน ก็จะเห็นว่า คำสอนของหลวงพ่อวัดปากน้ำ
ถูกต้องตามหลักของมหาปเทส 4 แล้ว
ถูกต้องอย่างที่ไม่มีใครหน้าไหนอธิบายได้อย่างนี้มาก่อน
ไอ้ควายนรกภูมิธรรม
มันยังหาว่าผิด ดูระดับความคิด
ระดับมันสมองของมันเองเองก็แล้วกัน
ต่อมา
ผมขอให้หลักฐานเพิ่มเติมอีก ดังนี้
ขอยกตัวอย่างคำว่า
“ญาณทัศนะ/ญาณทัสนะ” เพราะ ข้อความนี้ปรากฏทั่วไปในพระไตรปิฎก
พจนานุกรมให้ความหมายไว้ดังนี้
ญาณ, น. ปรีชาหยั่งรู้หรือกําหนดรู้ที่เกิดจากอํานาจสมาธิ,
ความสามารถหยั่งรู้เป็นพิเศษ.
ทัศน-, ทัศน์, ทัศนะ, ทัศนา น. ความเห็น, การเห็น, เครื่องรู้เห็น, สิ่งที่เห็น, การแสดง, ทรรศนะ ก็ใช้. (ป. ทสฺสน; ส. ทรฺศน).
ญาณทัสนะ น. ความรู้ความเห็น. (ป.).
|
เห็นได้ชัดเจนว่า
ญาณ = รู้ ทัศนะ/ทัสสนะ = เห็น หลวงพ่อวัดปากน้ำก็สอนถูกแล้ว
ที่นี้เข้ามาถึงเรื่องสำคัญที่หลวงพ่อวัดปากน้ำต้องเทศน์ว่า
“รู้กับเห็นมันต่างกันนะ เห็นอย่างหนึ่ง
รู้อย่างหนึ่งนะ ไม่ใช่เอารู้กับเห็นมาปนกัน ไม่ได้”
ก็เพราะตอนนั่น
พระพม่ากับสาวกพระพม่า มาสอนให้ “รู้” อย่างเดียว
ไม่ได้สอนให้ ทั้งเห็นทั้งรู้
แล้วสอนผิดๆ ว่า “พิจารณาเห็น” คือ ตามรู้ แล้วก็แปลไปอีก เป็นว่า “รู้สึก”
อย่างเดียว
ตรงนี้
เป็นหลักฐานยืนยันได้อย่างดีว่า หลวงพ่อวัดปากน้ำไม่เคยเชื่อคำสอนของสาวกพระพม่าอย่างมหาโชดก
และผมคิดว่า
การที่หลวงพ่อวัดปากน้ำเทศน์เรื่องนี้ ก็เพราะ มหาโชดกบังคับให้เข้าอบรมวิชายุบหนอพองหนอนั่นแหละ
จะสังเกตเวลา
เวลาที่หลวงพ่อวัดปากน้ำเทศน์นั้น ใกล้เคียงกับเวลาที่หลวงพ่อวัดปากน้ำถูกบังคับให้เข้าอบรมวิชายุบหนอพองหนอ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น